วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ของขวัญวาเลนไทน์มีความหมายว่าอะไรบ้าง ?


เนื่องวันนี้เป็นวันแห่งความรัก เราจึงไปสรรหาความหมายของของขวัญวาเลนไทน์มาฝากันค่ะ เผื่อว่าหลาย ๆ คนจะได้เลือกซื้อของได้ถูกตามความหมายที่อยากจะสื่อกับคนที่คุณรักนะค่ะ


ช็อกโกแลต
นักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่า  ช็อกโกแลตสามารถช่วยเสริมอารมณ์รักได้ และรสชาติความหวานก็เป็นสิ่งที่แทนความรู้สึกของวันแห่งความรักได้เป็นอย่างดี  และยังมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าในช็อกโกแลตมีสารกระตุ้นสมอง โดยออกฤทธิ์คล้ายแอมเฟตามีน  เป็นตัวเบิกความรู้สึกแห่งรักได้เป็นอย่างดี

ตุ๊กตา
เป็นสิ่งที่ให้กันได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว  แต่สำหรับวันวาเลนไทน์ต้องพิเศษต้อนรับวันแห่งความรัก ควรเลือกให้น่ารัก น่าประทับใจแทนความหมายได้ทุกอารมณ์

การ์ด
เป็นของจำเป็นที่ควบคู่ไปกับดอกไม้และช็อกโกแลต  เลือกแบบที่ชอบ  แล้วเขียนความในใจแบบที่อยากให้คนที่ได้รับอ่านแล้วเข้าใจในจุดประสงค์การให้  หาซื้อได้ง่ายหรือทำเองก็ได้


ดอกไม้  คือตัวแทนการบอกรักที่ดีที่สุด
- กุหลาบแดง หมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ เป็นสิ่งนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับ 
- กุหลาบขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ และนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับเช่นเดียวกับดอกกุหลาบแดง 
- กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุด
- กุหลาบสีเหลืองหรือสีส้ม หมายถึง ความรักร้อนแรงและยาวนาน ไม่จืดจาง หวานชื่น และมีความสุข 
- กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย 
- กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น 

สําหรับคนที่อยากได้อะไรแตกต่างยังมีดอกอื่นๆ เช่น 
- ดอกคาร์เนชั่นสีแดง หมายถึง รักอย่างสุดซึ้ง, 
- ดอกลิลลี่สีขาว หมายถึง ความโรแมนติก อ่อนหวานระหว่างคุณและคนรัก,
- ดอกทิวลิปสีแแดง หมายถึง ความรักที่จะร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน 
- ดอกไวโอเล็ต ที่แทนความหมายของการให้รักตอบแทน

เทียนหอม 
มาแรงในหมู่หนุ่มสาวชาวไทย ที่สื่อได้ทั้งความหมายจากรูปทรงหัวใจ และให้กลิ่นหอมชวนหลงใหลตามแต่ใครจะเลือกได้ถูกใจอีกฝ่ายแค่ไหน

ไม่ว่าจะเป็นวันสำคัญใดๆ  บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องมีของขวัญราคาแพง ๆ เพียงแค่เรามีความตั้งใจ ความบริสุทธิ์ใจที่จะให้ ผู้รับก็ดีใจ และมีความสุขทุกคนแหละ ค่ะ สุขสันต์วันแห่งความรักนะคะ 

ที่มา : http://www.ruampol.com





วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊ค



เรามีเคล็ดไม่ลับสำหรับวิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คให้ใช้งานได้นานขึ้น เพราะถ้าจะเปลี่ยนแต่ละทีก็หายากซะเหลือเกิน ไปดูกันเลยค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง

1.อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดไปเองเป็นอันขาด  คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้แบตเตอรี่จนหมดเกลี้ยง และปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ชาร์ตไฟอีกเป็นเวลานาน เพราะถ้าหากคุณทำเช่นนั้น แบตเตอรี่จะหมดไปถึงขีดขีดสุด จนอาจจะทำให้คุณไม่สามารถชาร์ตไปเข้าไปอีกได้ ดังนั้นควรชาร์ตไฟให้แบตเตอรี่ทันทีเมื่อระดับไฟในแบตเตอรี่เหลือต่ำกว่า 10%  (ส่วนมากแล้วจะมีการเตือนเมื่อแบตเตอรี่จะหมด)  หรือชาร์ตไฟทันทีที่มีโอกาส เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟในแบตเตอรี่ถูกใช้ไปจนหมด

2..ถ้าหากคุณไม่ได้ใช้เครื่องนานๆ ให้ชาร์ตไฟเก็บไว้อย่างน้อย 40% ถ้าคุณจำเป็นจะต้องทิ้งเครื่องไว้ไม่ใช้งานเป็นเวลานาน เป็นเวลาหลายเดือน เช่น การเดินทางไปต่างประเทศ หรือ ซื้อโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาใช้แทนตัวเก่า ขอแนะนำให้ชาร์ตทิ้งไว้ประมาณ 40-50% ก่อนที่คุณจะทิ้งเครื่องไว้โดยไม่ได้ใช้อีกนาน ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบของการขาดช่วงการชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ให้น้อยที่สุด และมีโอกาสชาร์ตไฟเข้าแบตเตอรี่ได้สำเร็จเมื่อคุณกลับมาใช้เครื่องอีกครั้ง

3.ไม่ควรทำงาน หรือใช้โน๊ตบุ๊คในที่อุณหภูมิสูงเกินไป ปกติระดับอุณหภูมิที่แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คจะทำงานได้ดีที่สุดคือระดับอุณหภูมิห้อง หรืออยู่ระหว่างช่วง 10 ถึง 35 องศาเซลเซียล ดังนั้นคุณจึงควรนั่งทำงานในห้องที่มีระดับอุณหภูมิดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะเมื่อคุณทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน  (ที่จริงควรมีพัดลมระบายความร้อนให้โน๊ตบุ๊คด้วยจะดีมาก) จริงๆ แล้วคุณสามารถทำงานในห้องที่ร้อนหรือหนาวกว่านั้นได้ แต่ให้จำไว้ว่ายิ่งทำงานในห้องที่มีความร้อนสูงขึ้นเท่าไหร่ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ก็ลดลงไปด้วยเป็นเงาตามตัว

4.ไม่ควรทิ้งเครื่องไว้ในกระโปรงท้ายรถ หรือในที่ที่ร้อนเกินไป ตามที่กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับผลกระทบของความร้อนสะสมกับแบตเตอรี่ ที่ถึงแม้จะมีความร้อนไม่สูงนัก แต่ก็ยังมีผลทำให้อายุการทำงานของแบตเตอรี่เป็นอย่างมาก ดังนั้นการทิ้งเครื่องไว้ในที่อุณหภูมิสูงกว่านั้นมาก เช่น ในกระโปรงท้านรถที่ทิ้งไว้กลางแดดติดต่อกันเป็นเวลานานก็ย่อมจะมีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่อย่างรุ่นแรงเช่นเดียวกัน คุณจึงต้องคอยระมักระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยหลีกเลี่ยงให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด


5.การใช้ครั้งแรกต้องชาร์ตอย่างน้อย 8 ชั่วโมง สิ่งแรกที่คุณจะต้องจำไว้เลยทุกครั้งที่ได้โน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาก็คือ คุณจะต้องไม่เปิดใช้งานทันที เพราะแบตที่มีอยู่นั้นไม่ได้ถูกชาร์ตมาเพื่อให้เปิดใช้ได้นานพอ แต่จะต้องชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มและปล่อยให้ชาร์ตทิ้งไว้อย่างน้อย 8 ชั่วโมงติดต่อกัน ทั้งนี้เพื่อให้ชิปภายในตัวแบตเตอรี่มีการตั้งระดับค่าไฟที่ชาร์ตเต็มได้อย่างถูกต้อง และสามารถตัดไฟไม่ให้ชาร์ตได้ทันทีที่แบตเตอรี่ถูกชาร์ตเต็มไปแล้ว

6.อย่าเสียบปลั๊กชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ตลอดเวลา บางท่านอาจจะชอบลืมเสียบปลั๊กชาร์ตไว้ตลอดทั้งคืน หรือไม่เคยดึงปลั๊กออกเลยทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน การทำเช่นนี้อาจจะทำให้ระดับการชาร์ตไฟเต็มลดลง เพราะชิปภายในแบตเตอรี่ได้ตัดไฟไม่ให้ชาร์ตตั้งแต่เมื่อแบตเตอรี่ถูกชาร์ตเต็มไปแล้ว แต่ความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นต่างหากที่เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้ประสิทธิภาพให้การชาร์ตไฟเข้าลดลงไปเรื่อยๆ

ที่มา : http://www.ruampol.com



วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความเชื่อ...กับคนท้อง Part 2



วันนี้เรามาต่อจากเมื่อวานที่ค้างเอาไว้นะค่ะ เกี่ยวกับความเชื่อกับคนท้อง ไปดูกันเลยค่ะ ว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่คนโบร่ำโบราณเค้าเชื่อว่าคนท้องต้องทำ หรือไม่ทำ



1.ห้ามเตรียมของใช้เด็กไว้ก่อน  ความเชื่อนี้ยังไม่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเลยทีเดียวนะค่ะ เพราะความเชื่อนี้ให้เหตุผลว่าจะเป็นลางไม่ดี  แต่ถ้ามองดูตามหลักเหตุและผลแล้ว มันไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับสุขภาพหรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์เลยแต่อย่างใด  ความเชื่อนี้อาจมาจากสมัยก่อนการคลอดลูกมีความเสี่ยงสูงจึงไม่อยากให้เตรียมของเด็กเอาไว้มากนัก อาจเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุเปล่าๆ เพราะบางอย่างเตรียมไว้ก็ไม่ได้ใช้  เด็กทารกแรกคลอดมีของที่ต้องใช้ไม่กี่อย่างเองค่ะ เช่น ผ้าอ้อม เสื้อผ้าเด็กอ่อน น้ำยาซักผ้า ประมาณนี้เองค่ะ และอีกอย่างเด็กโตเร็วด้วยค่ะ ซื้อไว้มากเด๋วจะใส่ไม่ได้เอา

2.ห้ามนอนหงายเด๋วรกจะติดหลัง  คำเตือนนี้ถูกต้องค่ะ โดยเฉพาะคุณแม่ท้องแก่  แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลรกติดหลังนะค่ะ  เพราะการนอนหงาย จะทำให้มดลูกของคุณแม่ไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ทำให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกน้อยลง อาจเกิดอันตรายต่อแม่และลูกน้อยได้ค่ะ ดังนั้นคุณแม่ควรนอนตะแคง ท่านอนตะแคงที่สบายและปลอดภัยที่คือ นอนตะแคงซ้ายนะค่ะ ส่วนรกนั้นไม่มีทางที่จะติดหลังได้หรอกค่ะ รกอยู่ในมดลูก แต่จะมีรกเกาะต่ำที่เป็นอันตราย

3.ห้ามไปงานศพ อันนี้โบราณเค้าถือมากค่ะ บางคนเค้าอาจได้ยินมาว่าเด๋วผีเข้า แต่ความจริงแล้วงานศพ เป็นงานเศร้าหมอง ผู้ร่วมงานมักจะหดหู่จากการสูญเสียญาติพี่น้อง เพื่อน หรือคนรู้จัก ถ้ามีคนที่ตั้งครรภ์ไปร่วมงานก็อาจจะทำให้รู้สึกเศร้าตามไปด้วย ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพจิตของคุณแม่นะค่ะ ผู้ใหญ่เลยไม่อยากให้คนท้องไปร่วมงานนั้นเอง



4.ท้องแหลม...ท้องกลม  อันนี้คนโบราณเอาไว้ทายเพศของลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ค่ะ ถ้าท้องแหลมแสดงว่าได้ลูกชาย  ท้องกลมได้ลูกสาวค่ะ  บางคนอาจดูจากสะดือจุ่น สะดือคว่ำ แต่รูปร่างของท้องที่ใหญ่ขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของมดลูกและกล้ามเนื้อหน้าท้องของคุณแม่แต่ละคนนะค่ะ เพศของลูกนั้นไม่ได้มีผลต่อรูปร่างท้องของแม่เลยค่ะ

5.กินเฉาก๊วยลูกผิวดำ...กินน้ำมะพร้าวลูกจะผิวขาว  ความเชื่อนี้อาจมาจากเนื้อมะพร้าวสีขาว เฉาก๊วยสีดำก็เลยกลัวว่ากินมากจะทำให้ลูกมีสีผิวตามนั้น  แต่อาหารก็คืออาหารอยู่ดีแหละค่ะ ไม่ได้มีผลอะไรกับสีผิวของลูกน้อยเลย เพราะสีผิวของคนเราขึ้นอยู่กับเม็ดสี ที่เป็นไปตามกรรมพันธุ์ ดังนั้นถ้าคนในครอบครัวผิวเข้ม ต่อให้คุณแม่ดื่มน้ำมะพร้าวเท่าไหร่ลูกน้อยก็คงเลี่ยงไม่พ้นผิวสีเข้มเหมือนเดิมแหละค่ะ 

6.ฤกษ์งามยามคลอด  เรื่องฤกษ์ยามนั้นถือว่าคนไทยยึดถือปฏิบัติกันมาช้านานแล้วนะค่ะ แต่เรื่องเด็กจะคลอดอั้นไว้ยังไงก็ไม่อยู่นะค่ะ  เด็กจะเป็นคนดี หรือจะเกเรไม่ได้อยู่ที่ฤกษ์ยามในการคลอดหรอกค่ะ แต่อยู่ที่การเลี้ยงดู และปัจจัยอื่นๆ มากกว่าค่ะ แต่การถือฤกษ์ยามก็มีข้อเสียเหมือนกันนะค่ะ เช่น ถ้าได้ฤกษ์ช่วงกลางดึก  คุณหมอที่ทำคลอดก็จะต้องอยู่ดึก อาจจะไม่สะดวกเป็นการปลูกฝังความเชื่อที่ไม่มีมูลเหตุว่าตอ้งเป็นเวลานี้ให้กับตัวเองและลูกน้อยตั้งแต่ยังไม่เกิดกันเลยค่ะ 


7.ผ่าคลอดดีกว่า  อันนี้เป็นความเชื่อตามยุคสมัยนะค่ะ เพราะเมื่อก่อนการผ่าคลอดนั้นค่อนข้างจะอันตราย แต่ด้วยความเจริญทางการแพทย์ และความเข้าใจผิดของคุณแม่ทำให้สถิติการผ่าคลอดสูงขึ้นมาก จนทำให้หลายคนเชื่อกันว่าผ่าคลอดดีกว่าคลอดแบบธรรมชาติ  แต่ความจริงแล้วการผ่าคลอดจะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณแม่มีความจำเป็น ที่ไม่สามารถคลอดเองได้ เพราะอาจเกิดอันตรายต่อแม่และลูกน้อย เช่น ลูกอยู่ในท่าขวาง แม่มีโรคแทรกซ้อน หรือแม่มีโรคประจำตัวบางอย่าง  ถึงแม้ปัจจุบันการผ่าคลอดจะมีความอันตรายน้อยกว่า แต่แผลจากการผ่าคลอดนั้นจะเจ็บนานกว่า และคุณแม่อาจจะท้อเวลาให้นมลูก และการผ่าคลอดมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการคลอดแบบธรรมชาตินะค่ะ

8.กินยาบำรุงแล้วจะอ้วน  คุณแม่หลายคนเชื่อว่าการกินยาบำรุงนั้นจะทำให้อ้วน เมื่อคลอดแล้วจะลดยาก แต่ความจริงแล้ว ยาบำรุงที่คุณหมอให้คุณแม่มาทานนั้น จะเป็นวิตามิน ธาตุเหล็ก ไม่ใช่ยาที่ทำให้คุณแม่กินเก่ง แต่เป็นยาที่เข้าไปช่วยเสริมส่วนที่ขาดไป เพราะช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีการผลิตเลือดเพื่มขึ้น จึงทำให้ร่างกายต้องการสารอาหาร และวิตามินเพื่อบำรุงร่างกายทั้งตัวคุณแม่และลูกน้อย  ถ้าคุณแม่ไม่อยากอ้วนทางที่ดี ควรกิรอาหารที่ดี กินให้สมดุล เน้นพวกโปรตีน ผัก ผลไม้ ควรหลีกเลี่ยงขนมหวานและอาหารที่มีไขมันเยอะๆ เมื่อคลอดแล้วก็ควรออกกำลังกายแต่พอเหมาะ กินอาหารที่มีประโยชน์  แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะลดได้เหมือนกันหมดนะค่ะ ต้องขึ้นอยู่กับพื้นฐานรูปร่างของแต่ละคนด้วยค่ะ 

หมดแล้วคะ สำหรับความเชื่อกันคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ความเชื่อบางอย่างก็ควรที่จะปฏิบัติตามนะค่ะ แต่ถ้าบางอย่างทำแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ก็อย่าทำเลยค่ะ เอาแบบที่เราถนัด ตามใจตัวเองดีที่สุดค่ะ เพื่อสุขภาพจิตของคุณแม่ค่ะ 

ที่มา : http://www.ruampol.com




วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความเชื่อ....กับคนท้อง


สังคมบ้านเรามักมีความเชื่อมากมายหลายความเชื่อ บางครั้งเราก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าความเชื่อนั้นเป็นจริงหรือไม่  บางความเชื่อก็ฟังดูเกินความจริงไปบ้าง  แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงอะไร เพราะคนเราสมัยนี้ก็ถือว่า โบราณว่าไว้ เค้าอาบน้ำร้อนมาก่อนเรา จริงมั้ยค่ะ วันนี้เรามีความเชื่อเกี่ยวกับคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องมาฝากกันค่ะ ว่ามีความเชื่อเรื่องอะไรบ้าง และเรื่องไหนที่ควรปฏิบัติตามหรือเรื่องไหนที่อาจจะรับฟังไว้เฉยๆ 


1.กินน้ำมะพร้าวแล้วจะทำให้ลูกผิวสวย
เป็นความเชื่อที่มีคนปฏิบัติตามกันเป็นจำนวนมาก  คุณแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกออกมามีผิวดีกันทุกคนใช่มั้ยค่ะ  มาดูความจริงกันค่ะ น้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่มีความบริสุทธิ์ และมีแร่ธาตุมากมาย เช่น เหล็ก โพแทสเซียม วิตามินบี  แคลเซียม กรดอะมิโน น้ำตาลกลูโคส ซึ่งเจ้ากลูโคสนี้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว และยังมีฤทธิ์ขับสารพิษอีกด้วย ในน้ำมะพร้าวยังมีเอสโตรเจนที่เข้าไปทำให้ผิวพรรณสดใส  ฉะนั้นการที่คุณแม่ดื่มน้ำมะพร้าวอาจจะไม่ได้หมายถึงว่าลูกจะต้องออกมาผิวสวย แต่ก็เจ้าน้ำมะพร้าวก็มีข้อควรระวังนะค่ะ สำหรับคุณแม่ที่มีภาวะโรคเบาหวาน เพราะในน้ำมะพร้าวมีความหวานจากน้ำตาล ฉะนั้นคุณแม่ก็ควรดื่มด้วยความระมัดระวังนะค่ะ 


2.อัลตร้าซาวนด์ไม่ดีจริงหรอ
การอัลตร้าซาวนด์เป็นการส่งคลื่นเสียงเข้าไปกระทบภายในท้อง และคลื่นเสียงนั้นก็สะท้อนกลับมาสู่การประมาลผลออกมาเป็นภาพให้เราเห็นว่าลูกน้อยมีการเจริญเติบโตปกติหรือไม่  สามารถคำราณอายุลูกได้ค่อนข้างแม่นยำ และจาก 50 ปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีรายงานใดๆ ว่าการอัลตร้าซาวนด์จะเป็นอันตรายต่อลูกน้อย


3.คุณแม่หน้าผ่องได้ลูกสาว  คุณแม่หน้าหมองได้ลูกชาย
ตามปกติแล้วเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ ฮอร์โมนในร่างกายมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันออกไป  บางคนมีฝ้าขึ้นหน้า สิวขึ้นจากที่ไม่เคยมีหรือมีรอยดำรอบคอ  บางคนก็ไม่มีเลย แต่อาจจะมีอาการอื่นๆ แทน  ซึ่งไม่เกี่ยวกับเพศของลูกในท้องแต่อย่างใด  การที่คุณแม่จะมีหน้าตาสดใสหรือไม่นั้น  บางครั้งก็อาจจะขึ้นอยู่กับความวิตกกังวล การดูแลตนเองช่วงตั้งครรภ์ด้วยค่ะ แม้ว่าคุณแม่จะตั้งคครภ์ลูกขาย แต่มีความสุข กินอาหารดีๆ อันนี้ก็รับรองได้เลยว่าหน้าของคุณแม่จะไม่หมองคล้ำตามความเชื่อแน่นอนค่ะ


4.ห้ามเย็บปัก ถักร้อย
ด้วยความเชื่อที่สืบทอดกันมาว่าถ้าเย็บผ้าระหว่างตั้งครรภ์ จะทำให้ลูกปากแหว่งเพดานโหว่ แต่โรคปากแหว่งเพดานโหว่ในเด็กแรกเกิดนั้น แม้จะยังไม่มีผลแน่ชัดว่าเกิดจากอะไรแน่ แต่ก็มีการวิจัยว่า บางส่วนเกิดจากพันธุุกรรม และที่แน่ๆ คือการพัฒนาของตัวอ่อนในช่วง 3 เดือนแรกมีความผิดปกติ  และอีกงานวิจัยคือ การที่คุณแม่แสูบบุหรี่มีผลทำให้ลูกเพดานโหว่กว่าแม่ที่ไม่สูบถึง 3 เท่า แต่เท่าที่ผ่านมายังไม่มีงานวิจัยใดๆ ที่บอกว่า สาเหตุที่แท้จริงเกิดจากการเย็บผ้าระหว่างตั้งครรภ์  ถึงยังไงคำเตือนโบราณก็น่าคิดว่า อาจจะให้คุณแม่ระมัดระวังในการทำงานด้านนี้ เพราะต้องนั่งทำงานนานๆ ก้มๆ เงยๆ ทำให้หน้ามืดเวียนหัวได้ง่าย  หรือการเย็นจักร ก็อาจจะไม่เป็นผลดีต่อคุณแม่ที่สุขภาพไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าคุณแม่ที่มีความระมัดระวังตนเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องนี้นะค่ะ


5.นอนมากจะคลอดยาก
ความเชื่อนี้มักจะใช้ได้ผลเสมอ  เชื่อคุณแม่ทุกคนจะได้คนรอบข้างพูดให้ฟังเสมอว่าการคลอดลูกนั้นเป็นเรื่องที่เจ็บปวดและทรมานที่สุด  คำโบราณนี้จึงใช้ได้ผลกับคุณแม่ตั้งครรภ์เสมอ  แต่ที่จริงแล้วการคลอดเป็นกลไกธรรมชาติ ความยากง่ายนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องตำแหละของลูกน้อย ขนาดของลูกน้อย สรีระ  และความแข็งแรงของแม่ด้วย  ดังนั้น ถ้าแม่นอนมากเกินไป จนไม่ได้ออกกำลังกาย ก็อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มมากเกิน (หรืออ้วนมากนั้นเอง) การคลอดก็ยากตามไปด้วย แต่ถ้าได้ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ร่างกายก็จะมีกำลังและความอดทนมากขึ้นต่อการคลอดลูกนั้นเองค่ะ


6.ห้ามนั่งขวางบันได
หลายคนอาจเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกว่า อย่านั่งขวางบันได จะทำให้คลอดลูกยาก ใครฟังก็ต้องกลัวจริงมั้ยค่ะ เพราะการคลอดลูกยากคือการที่ต้องทานกับความเจ็บปวดอันยาวนาน และอาจเกิดอันตรายขึ้นได้ เพราะสมัยก่อนการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า แต่ความจริงคือบ้านในสมัยก่อน มักจะเป็นบ้านชั้นเดียว แล้วยกใต้ถุนสูงบันไดบ้านก็ค่อนข้างชัน ถ้าไปนั้งขวางบันไดอาจพลัดตกลงมาเกิดอันตรายได้ง่าย  โดยเฉพาะถ้าท้องใหญ่ใกล้คลอดการทรงตัวจะไม่ดีเท่าคนปกติ ยิ่งไม่ควรนั่ง เมื่อลองเอาความเชื่อกับหลักความเป็นจริงมาคิดดูว่าทำให้คลอดยากนั้น ก็ไม่น่าจะเป็นความจริงค่ะ


7.คนท้องต้องลอดท้องช้าง
คนสมัยก่อนมีความเชื่อว่าถ้าตั้งครรภ์อยู่แล้วได้ลอดท้องช้างจะทำให้คลอดง่าย แต่ถ้ามาคิดหาเหตุผลในสมัยนี้แล้ว การเดินลอดท้องช้างไม่ได้มีผลต่อการคลอดใดๆ เลย อย่างที่เคยพูดไปในข้อที่แล้วนะค่ะ ว่าความยากง่ายในการคลอดนั้นขึ้นอยู่กับอะไร อาจเป็นไปได้ว่าที่มาของความเชื่อนี้คือช้าง เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของคนไทยมาช้านาน คนไทยจึงนับถือเป็นสิริมงคลกับตัวนั่นเองค่ะ 

วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะค่ะ  แต่ยังมีความเชื่ออีกหลายข้อเลยนะค่ะ ที่คนไทยเค้าเชื่อและยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน  แต่ขอเอาไว้พรุ่งนี้นะค่ะ 

ที่มา : http://www.ruampol.com






วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ดูแลคุณแม่หลังคลอด

วันนี้มีความรู้ดีๆ มาฝากคุณแม่มือใหม่ทุกคนค่ะ โดยเฉพาะเมื่อคลอดน้องใหม่ๆ ใน 24 ชั่วโมง คุณแม่ต้องเตรียมตัว ต้องปรับตัวอย่างไรบ้าน มาดูกันเลยค่ะ



1.ดูแลแผลหลังคลอด
แผลคลอดเอง คุณหมอจะเย็บแผลด้วยไหมละลาย โดยแผลบริเวณช่องคลอดจะมีเส้นประสาทและหลอดเลือดจำนวนมาก ทำให้แผลหายเร็ว เพียงแต่จะต้องดูแลทำความสะอาด หลังจากคุณแม่เข้าห้องน้ำ สามารถใช้น้ำทำความสะอาดได้ตามปกติและควรซับให้แห้ง รวมทั้งเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการอับชื้นจากน้ำคาวปลา ส่วนแผลผ่าคลอด ควรสังเกตตัวเองว่ามีอาการแพ้พลาสเตอร์ปิดแผลหรือไม่ หากคุณแม่มีอาการคันหรือผิวหนังเป็นผื่นแดง หรือเป็นตุ่มน้ำบริเวณที่ปิดพลาสเตอร์ควรให้แพทย์เปลี่ยนพลาสเตอร์ให้ และต้องระวังไม่ให้แผลอับชื้นด้วยค่ะ

2.ดูแลความปลอดภัย
ขณะคลอดคุณแม่อาจเจอกับปัญหาตกเลือดหรือต้องเสียเลือดเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยตัวเองโดยการนวดคลึงมดลูกค่ะ เนื่องจากเวลาคลอดรกจะหลุดลอกออกมาทำให้คุณแม่เสียเลือดมาก ซึ่งปกติมดลูกจะบีบรัดตัวให้แข็งเพื่อทำให้เลือดหยุดไหล แต่ถ้ามดลูกไม่บีบรัดตัว คุณแม่ควรคลำมดลูกบริเวณท้องน้อย และนวดคลึงเบา ๆ เพื่อให้ก้อนมดลูกแข็งตัวขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่อยู่บนเตียงคลอดเลย เพื่อช่วยเหลือตัวเองให้ปลอดภัยจากการตกเลือด

3.ระวังการเคลื่อนไหว
ผลจากการเสียเลือดมากขณะคลอด อาจทำให้คุณแม่มีภาวะความดันโลหิตต่ำและร่างกายอ่อนเพลีย ควรระวังอาการหน้ามืด ใจสั่น มือสั่น และเป็นลมได้ง่าย เมื่อเปลี่ยนอิริยาบถเร็ว ๆ เช่น ลุกจากเตียงนอนหรือเดินไปเข้าห้องน้ำ คุณแม่ควรเคลื่อนไหวช้า ๆ หาที่ยืดเกาะให้มั่นคงหรือควรให้คุณพ่อคอยช่วยประคองเวลาที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย ถ้าคุณแม่มีอาการหน้ามืดบ่อย ๆ ควรรีบบอกพยาบาลเพราะอาจจะต้องให้น้ำเกลือหรือให้เลือดเพิ่ม

4.ดูแลความสะอาด
หลังคลอดจะมีทั้งคราบเหงื่อไคล คราบเลือด และอาการเหนื่อยล้าจากการคลอด ซึ่งก่อนที่คุณแม่จะให้นมลูกเพื่อเสริมภูมิต้านทาน อย่าลืมว่าต้องดูแลทำความสะอาดตัวเองก่อนเพื่อป้องกันลูกน้อยจากสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคต่าง ๆ ซึ่งคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติสามารถอาบน้ำ สระผมได้ตามปกติ ส่วนคุณแม่ที่ผ่าคลอดถ้าไม่ได้ใช้พลาสเตอร์กันน้ำปิดแผลก็ควรใช้วิธีเช็ดตัวให้สะอาดก่อนในช่วงแรก โดยเฉพาะบริเวณเต้านมและหัวนมก่อนให้ลูกดูดนมแม่ค่ะ

5.ให้นมแม่
หลักการให้นมแม่คือ ดูดเร็ว ดูดบ่อย และดูดถูกวิธี หลังคลอดพยาบาลจะรีบพาลูกน้อยมาให้ดูดนมแม่ทันที เป็นการกระตุ้นฮอร์โมนในร่างกายคุณแม่ให้หลั่งน้ำนมออกมา ซึ่งคุณแม่บางคนอาจต้องใช้เวลา 2-3 วัน กว่าที่น้ำนมจะไหล จึงจำเป็นที่ลูกน้อยจะต้องดูดกระตุ้นบ่อย ๆ เพื่อให้คุณแม่กับลูกน้อยได้เรียนรู้วิธีฝึกดูดนมและฝึกอุ้มลูกไปพร้อม ๆ กัน รวมทั้งกระตุ้นให้น้ำนมออกมาเร็วขึ้น ส่วนคุณแม่ที่ผ่าคลอดแล้วยังไม่สามารถอุ้มลูกได้ ก็สามารถได้นมลูกด้วยท่านนอนตะแคง เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บแผลผ่าคลอดได้

6.ดูแลจิตใจตัวเอง
 หลังคลอดคุณแม่อาจเกิดภาวะซึมเศร้า มีความรู้สึกเหงาหรือท้อแท้ ภาวะนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างกะทันหัน เพราะช่วงตั้งครรภ์ฮอร์โมนจากรกจะทำให้คุณแม่รู้สึกสดชื่นกระฉับกระเฉง ตื่นตัว แต่หลังคลอดแล้วฮอร์โมนเหล่านี้จะหายไปทันทีหลังคลอด คุณแม่จึงอาจมีอารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้าเกิดขึ้นได้ถ้าคุณแม่เป็นคนที่มีพื้นฐานร่างกายแข็งแรง ปรับตัวปรับใจได้ดี ก็จะไม่เกิดปัญหานี้ แต่ถ้าคุณแม่มีความเครียดอยู่แล้ว เมื่อฮอร์โมนเปลี่ยนอารมณ์และจิตใจก็จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเช่นกัน
ดังนั้น ควรดูแลจิตใจตัวเองให้ผ่อนคลาย อาจใช้วิธีการฟังเพลงทำกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจมีความสุข หาเพื่อนหรือคนที่ใกล้ชิดพูดคุยหรือปรึกษาเรื่องการเลี้ยงลูก ก็จะช่วยลดความเครียดความกังวล ทำให้รู้สึกสบายใจได้มากขึ้น

7.เสริมโภชนาการอาหาร
ร่างกายของคุณแม่หลังคลอดจะมีอาการอ่อนเพลียจากการเสียเลือดและฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นคุณแม่ควรฟื้นฟูสุขภาพตัวเองให้สมบูรณ์อย่างรวดเร็ว โดยเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้สารอาหารไปช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายให้คืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว และยังส่งผลต่อสารอาหารที่ลูกจะได้รับผ่านน้ำนมแม่อีกด้วย

คุณพ่อก็ช่วยดูแลได้นะค่ะ เพื่อคุณแม่และคุณลูกจะได้ปลอดภัยค่ะ 

ที่มา :  http://www.ruampol.com

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ห้ามทำอะไรบ้างในวันตรุษจีน


นี่ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกทีแล้วนะค่ะ เหลืออีกไม่กี่วันเท่านั้น วันนี้เรามีความรู้ดีๆ มาฝากกัน เกี่ยวกับข้อห้าม หรือข้อควรระวังในวันตรุษจีน  มาดูกันเลยค่ะ


1.ห้ามทำของแตก   มันจะหมายถึงลางร้ายที่บอกว่าครอบครัวจะแตกแยก หรือมีคนเสียชีวิตในครอบครัว อันนี้ไม่ดีต้องระวังนะค่ะ

2.ห้ามพูดคำหยาบและทะเลาะเบาะแว้ง  เพราะว่าความเชื่อของคนจีนนั้น  การพูดสิ่งที่ไม่ดีในวันนี้  จะนำความโชคร้ายมาให้ตลอดทั้งปีเลยทีเดยว


3.ห้ามทำความสะอาดบ้าน  ดูเหมือนจะแปลกแต่คนจีนเค้าเชื่อกันว่า  การทำความสะอาดบ้าน จะเป็นการกวาดเอาโชคลาภ เงินทอง  ออกไปจากบ้าน  ส่วนมากคนจีนมักจะทำความสะอาดบ้านก่อนวันตรูษจีนเพื่อเอาไว้รับแขก หรือลูกหลานที่จะมาในวันปีใหม่จีนนี้


4.ห้ามใช้ของมีคม  คนจีนเชื่อกันว่า  การใช้ของมีคมตัดสิ่งของจะเป็นการตัดโชคดีไปด้วย (อ่าวงี้เราจะทำกับข้าวกันยังไงละหว่า อิอิ แอบแซว)


5.ห้ามใส่ชุดขาวดำ  คือการสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว ดำ ในวันนี้นั้นหมายถึงลางร้าย  คนจีนจึงมักสวมเสื้อผ้าสีแดง เนื่องจากเชื่อว่า สีแดงคือสีที่จะนำความโชคดีมาให้


6.ห้ามกินโจ๊กและเนื้อสัตว์  เนื่องจากความเชื่อที่ว่า  การกินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีน  เหมือนกับการขัดขวางไม่ให้ตัวเองร่ำรวยนั่นเอง


7.ห้ามสระผมหรือตัดผม  เพราะคนจีนเชื่อกันว่า  การสระหรือตัดผมในวันตรุษจีน  เหมือนกับการนำความมั้งคั้งออกไป เพราะคำว่าผม เป็นคำพ้องรูป พ้องเสียงกับคำว่า มั้งคั่งนั่นเองค่ะ


8.ห้ามซักผ้าในวันตรุษจีน   คนจีนเชื่อกันว่า  เทพเจ้าแห่งน้ำเกิดในวันตรุษจีน  ดังนั้นการซักผ้าในวันตรุษจีนจึงเปรียบเสมือนการบยหลู่ท่าน


9.ห้ามให้ยืมเงิน    เพราะการให้ยืมเงินในวันนี้จะทำให้ทั้งปีมีคนมายืมเงินตลอด  และหากติดเงินใครในวันตรุษจีน  คนๆ นั้นจะมีหนี้สินตลอดปี(ข้อนี้ถึงไม่ใช่ตรุษจีนก็ไม่ให้ยืมดีกว่า กลัวไม่ได้คืนอิอิ)


10.ห้ามร้องไห้   คนจีนเชื่อกันว่า  ถ้าหากร้องไห้จะทำให้พบกับเรื่องไม่ดี  และเสียใจไปตลอดทั้งปี


11.ห้ามซื้อรองเท้่าใหม่    เพราะคำว่ารองเท้า  ในภาษาจีนออกเสียงว่า  Hai (海 ออกเสียงว่า ฮ่าย )  ซึ่งมีเสียงคล้ายกับการถอนหายใจเชื่อว่า  นั่นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นปีที่ไม่ดี


12.ห้ามเข้าไปในห้องนอนคนอื่น     ซึ่งคนจีนหลายบ้านมีความเชื่อที่ว่า ห้ามเข้าไปหาใครในห้องนอนด้วย  เพราะถือว่าเป็นโชคร้าย

นี่ก็คือข้อห้ามทั้งหลายที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีนนี้นะค่ะ ส่วนใครที่ไม่ได้มีเชื้อสายจีน  จะทำตามก็ไม่เสียหายนะค่ะ 

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อาการนี้.....ท้องแล้วจ้าา


สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลาย ที่ตั้งหน้าตั้งตารออยากเป็นคุณแม่มือใหม่นะค่ะ  วันนี้เรามีสัญญาณบอกว่าเมื่อคุณผู้หญิงมีอาการแบบนี้แสดงว่า คุณกำลังจะมีเบบี๋แล้วนะค่ะ เตรียมฉลองกันได้เลย

1. ประจำเดือนขาด    นี่อาจเป็นสัญญาณแรก โดยเฉพาะถ้าปกติประจำเดือนคุณมาสม่ำเสมอ อยู่มันก็ขาดหายไปซะดื้อ  คุณก็สามารถคาดเดาได้แล้วว่ากำลังตั้งครรภ์ ถึงแม้ว่ายังไม่ได้ผ่านการตรวจการตั้งครรภ์เลยด้วยซ้ำ

2. ประจำเดือนน้อยหรือกระปริดกระปอย    หากคุณตั้งครรภ์ ประจำเดือนอาจจะมาน้อยในช่วงที่มีการฝังตัวของไข่ในมดลูก และจะเกิดขึ้นประมาณ 8-10 วัน ก่อนที่ประจำเดือนปกติจะมา คุณสามารถแยกแยะจากประจำเดือนปกติได้ หากประจำเดือนมาก่อนกำหนด หรือหากประจำเดือนกระปริดกระปอย สีชมพูอ่อน และไม่ได้มาตามขนาดปกติ ซึ่งอาจจะมามากกว่าปกติ

3. อาการแพ้ท้องและอาเจียน    อาการนี้อาจเกิดขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรกๆ หลังจากตั้งครรภ์ ซึ่งจะเกิดอาการเวียนศีรษะ อาการนี้มักเป็นอาการที่เข้าใจผิดได้บ่อยๆ ว่าอาจจะไม่ใช่เกิดจากการตั้งครรภ์แต่เป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอหรืออะไรก็ตามแต่ อาการแพ้ท้องนี้เกิดได้ตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนหรอกนะค่ะ
อาการแพ้ท้อง   มักเป็นกันมากในหญิงมีครรภ์ที่เป็นครรภ์แรก ซึ่งมักจะเป็นในช่วง 3 เดือนแรก ด้วยความเป็นกังวลที่ทำให้มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย แปรปรวนและหงุดหงิดค่อนข้างง่าย หากผู้ใดที่อยู่ใกล้ไม่มีความเข้าใจมักเกิดความรำคาญหรือว่ากล่าวอันเป็นเหตุให้คุณแม่มือใหม่เกิดอาการเครียดขึ้นมาได้

4. เต้านมและหัวนมมีการเปลี่ยนแปลง    หากคุณตั้งครรภ์ คุณจะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเต้านมและหัวนม ซึ่งจะเปราะบาง อ่อนไหว และมีความรู้สึกได้ง่ายขึ้นในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์     หลังจากที่ประจำเดือนขาดประมาณ 1 สัปดาห์  หรืออาจเกิดอาการบวมคล้ายๆ กับอาการก่อนเกิดประจำเดือนที่หน้าอกใหญ่ขึ้น

5.บริเวณรอบหัวนมคล้ำขึ้น    ในการตั้งครรภ์ เมื่อถึงระยะเวลาที่รอบเดือนควรจะมา คุณจะสังเกตเห็นบริเวณรอบหัวนม (ที่เป็นวง) จะคล้ำขึ้นและขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยให้ทารกสามารถสังเกตเห็นหัวนมได้ง่ายขึ้นในการดูดนมมารดา และอาจจะยังสังเกตเห็นหลอดเลือดบริเวณรอบๆ เต้านมชัดขึ้น ตุ่มที่บริเวณรอบหัวนมก็จะมีมากขึ้น อาจจะมากถึง 4-28 ในรอบหัวนมหนึ่ง

6. ปัสสาวะบ่อยขึ้น    ในระยะที่ประจำเดือนขาด 1-2  สัปดาห์คุณก็จะพบว่าคุณปัสสาวะบ่อยขึ้น บ่อยกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากทารกกำลังเติบโตอยู่ในมดลูกและกดทับกระเพาะปัสสาวะนั่นเอง

7.อุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มขึ้น    คุณอาจจะยังรู้สึกเป็นปกติดีตราบเท่าที่ระดับอุณหภูมิยังคงอยู่ในช่วงการประเมินการ แม้จะผ่านช่วงเวลาของการมีประจำเดือนมาแล้ว และเมื่อคุณตั้งครรภ์ ไข่จะตกจากรังไข่ และใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ในการเดินทางไปถึงมดลูก ซึ่งจะเป็นการไปฝังตัว และในเวลานี้เองที่ร่างกายของคุณจะรู้ได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ ทำให้อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น

8. ท้องผูก   คุณจะสังเกตการเปลี่ยนแปลงของลำไส้ตั้งแต่แรกเริ่มตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในช่วงการตั้งครรภ์จะทำให้ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลงและมีประสิทธิภาพน้อยลง

9. เหนื่อยง่ายขึ้น   อาการเหนื่อยได้ง่ายนี้จะเกิดขึ้นในระยะ  8-10  สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ เมื่อคุณตั้งครรภ์กระบวนการเผาผลาญพลังงานจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นร่างกายจึงจำเป็นต้องได้รับการปรับตัวเพื่อให้กำเนิดอีกชีวิตหนึ่ง โดยมากแล้วอาการนี้จะหายไปในสัปดาห์ที่ 12  ค่ะ

10.ผลจากการทดสอบการตั้งครรภ์   แม้เพียงประจำเดือนขาดไป 1 วัน และคุณพร้อมที่จะรับรู้ความจริง ก็สามารถไปซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์มาทดสอบเองได้ที่บ้าน การทดสอบจากปัสสาวะจะมีความแม่นยำมากขึ้นหากตรวจหลังจากปฏิสนธิได้ 10-14 วัน หากคุณไม่สามารถรอจนถึงกระทั่งช่วงที่ประจำเดือนขาด การตรวจเลือดจะมีความแม่นยำ ในช่วง 8-10  วันหลังจากปฏิสนธิ และคิดอยู่เสมอว่าไม่มีการทดสอบใดที่ได้ผลถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่การตรวจเลือด หากคุณตรวจแล้วมีผลว่าไม่ตั้งครรภ์แต่คุณยังรู้สึกเหมือนกับว่าคุณตั้งครรภ์ ให้ตรวจอีกครั้งหลังจากนั้น 1 สัปดาห์

แต่อาการที่ว่าทั้งหลายแหล่นี้ ก็ไม่ได้เป็นกันทุกคนหรอกนะค่ะ บางคนอาจมีแค่อาการแพ้ท้อง อย่างเดียว หรืออาจจะเป็นครบทุกเลย อันนี้ก็ลำบากคุณพ่อหน่อย ที่ต้องคอยดูแลคุณแม่นะคะ  ยังไงก็ดีใจกับคุณแม่ทุกคนนะค่ะ 


ขั้นตอนง่ายๆ เพิ่มความแรง wifi

คงมีหลายคนเคยเจอนะครับ เวลาเล่นเน็ตบนมือถือแล้วเดินไปหลังบ้านแต่ wifi มาไม่ถึงหลังบ้าน วันนี้เรามีวิธีง่ายๆ เพิ่มสัญญาณ wifi ในบ้านให้ทั่วถึงทุกมุม จะได้ไม่มีอะไรมาขัดขวางการท่องเน็ตของเราได้   วิธีที่ว่านี้ก็ไม่มีขั้นตอนซับซ้อนมากมาย คุณๆ สามารถทำได้เองที่บ้าน เพื่อสัญญาณ wifi ที่คลอบคลุมได้ไกลกว่าเดิม เด๋วเรามาดูกันเลย


1. หาตำแหน่งที่วางเราท์เตอร์ ที่สามารถให้สัญญาณได้แรงที่สุด เราท์เตอร์ไม่ได้เป็นของตกแต่งบ้านที่สวยหรูดูดี ดังนั้นผู้ใช้ส่วนใหญ่ชอบวางมันหลบๆ ซ่อนๆ ไว้ แต่มันเป็นวิธีที่ผิดพลาดมากๆ เพราะเราท์เตอร์เป็นอุปกรณ์"ขี้ร้อน"และมันต้องการที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ดังนั้นควรวางมันในที่เปิดโล่ง อย่างเช่น ตรงกลางบ้าน พยายามให้อยู่ห่างจากผนัง และสิ่งกีดขวาง อย่างเช่น ตู้เอกสารที่ทำจากหล็ก ไม่ควรวางเราท์เตอร์ให้เสาสัญญาณชิดติดกำแพง หรือออกไปนอกอาคาร เพราะจะทำให้สูญเสียสัญญาณครึ่งหนึ่งที่ส่งออกไป แถมยังอาจจะกลายเป็นการสร้างจุดบอดของสัญญาณภายในบ้านด้วยซ้ำ ตำแหน่งที่ดีทีสุดสำหรับการติดตั้งเราท์เตอร์คือ ที่สูงดีกว่าที่ต่ำ โดยเฉพาะบ้านสองชั้น ถ้าจะให้ง่ายหน่อยแนะนำให้คุณวางเราท์เตอร์ไว้เหนือชั้น หรือบนตู้สูง และไม่อยู่ชิดติดสิ่งกีดขวางที่อาจบล็อคสัญญาณได้


2. อัพเดทเทคโนโลยีของอุปกรณ์ที่ใช้  หากเราท์เตอร์ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ของคุณ ไม่ได้ล่าสมัยจนเกินไป (ไม่เกิน 3 ปี) ระบบทั้งหมดน่าจะสนับสนุนการเชื่อมต่อด้วยมาตรฐาน Wireless-N ซึ่งหากตรวจสอบแล้วมันเข้ากันได้ แนะนำให้ตั้งค่าของเราท์เตอร์เป็น N-mode only เพื่อให้ได้ความเร็ว และรัศมีครอบคลุมการใช้งานสูงสุด การคั้งค่าเป็น b/g/n เพื่อให้สนับสนุนการเชื่อมต่ออุปกรณ์รุ่นเก่าทีทำงานช้ากว่า หาก PCT ใช้มาพร้อมกับการ์ดเชื่อมต่อด้วย Wireless-G แนะนำให้เอารุ่นใหม่ที่เป็น Wireless-N มาใส่แทน อย่างไรก็ตาม การซื้อเราท์เตอร์ใหม่ที่ไม่สนับสนุน Wireless-N มีโอกาสที่มันจะไม่สนับสนุนการเข้ารหัสระบบรักษาความปลอดภัยล่าสุดด้วย ก่อนตั้งค่าเป็น Wireless-N แนะนำให้คุณตรวจสอบเว็บไซต์ของผู้ผลิตด้วยว่า เฟิร์มแวร์ของเราท์เตอร์ที่คุณใช้อยู่ได้รับการอัพเกรดให้ใช้ได้แล้ว หรือยัง ลองตรวจสอบ และทำตามดูนะครับ แล้วคุณจะพบกับประสบการณ์ใหม่ในการท่องเว็บไร้สายภายในบ้านของคุณ


3. ลดสัญญาณรบกวน นอกจากการอัพเดทเทคโนโลยีที่ใช้ ค้นหาตำแหน่งที่วางเราท์เตอร์ที่เหมาะสม เปลี่ยนแชนเนลสัญญาณที่ไม่ไปชนกับใครแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความแรง และระยะในการส่งสัญญาณไวไฟให้กับเราท์เตอร์ของเราก็คือ การลดสัญญาณรบกวนการทำงานจากอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ความถี่ในย่าน 2.4GHz อย่างเช่น โทรศัพท์ไร้สายภายในบ้าน เครื่องส่งสัญญาณเตือนเด็กตื่น และอุปกรณ์ไร้สายต่างๆ ตลอดจนเตาอบไมโครเวฟ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งคลื่น 2.4GHz ที่แรงมาก จนรบกวนให้สัญญาณ Wi-Fi ของคุณสู้ไม่ได้ แนะนำให้วางเราท์เตอร์ห่างไกลจากอุปกรณ์เหล่านี้จะดีกว่า


4.การส่งสัญญาณไวไฟก็จะคล้ายๆ กับการทำงานของสถานีวิทยุ เราท์เตอร์ไร้สายถสามารถส่งสัญญาณไปบนช่องที่แตกต่างกัน ซึ่งหากคุณและเพื่อนบ้านที่ใช้ไวไฟช่องสัญญาณเดียวกัน มันก็จะเกิดการแบ่งกันใช้เป็นธรรมดา ปัญหานี้อาจไม่เกิดขึ้นกับคุณหากเราท์เตอร์ที่ใช้มีคุณสมบัติการเปลี่ยนช่องสัญญาณโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าไม่มี การปรับแต่งเลือกช่องสัญญาณทีมีการรบกวนน้อยสุดจะช่วยให้คุณได้สัญญาณไวไฟที่แรงขึ้น ลองศึกษาคู่มือ หรือค้นหาวิธีเปลี่ยนช่องสัญญาณ (Channel) ทีมีให้เลือก 1 - 11 แชนเนล จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตเราท์เตอร์


5. ดูแลเน็ตเวิร์กให้ปลอดภัย สำหรับวิธีสุดท้ายที่จะช่วยให้สัญญาณไวไฟของคุณไม่ถูกแอบใช้โดยชาวบ้านจนช้าเป็นเต่าล้านปีไปหมด เนื่องจากการ  Home Wi-Fi จะมีการปล่อยสัญญาณออกไปนอกบ้าน หากคุณไม่ทำการตั้งค่าระบบรักษาความปลอดภัยเอาไว้ อย่างเช่น การเข้ารหัส ซึ่งเราท์เตอร์ใหม่ๆ วันนี้จะได้รับผลกระทบต่อประสิทธิภาพความเร็วน้อยมาก แต่มันย่อมดีกว่า การโดนข้างบ้านแอบบใช้สัญญาณไวไฟของคุณ ท่องเน็ต โหลดบิต ดูยูทูบ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ แฮคเกอร์สามารถใช้เน็ตเวิร์กที่ไม่ได้รับการดูแลเรื่องความปลอดภัยขโมยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อได้ ในที่นี้ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ได้ตั้งค่าการเข้ารหัสด้วย  WPA2 และใช้พาสเวิร์ดที่แข็งแรง



ก็เป็นอีกวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยเพิ่มสัญญาณ wifi ให้บ้านคุณ เมื่อสัญญาณแรงแล้วก็อย่าลืมเข้ามาแวะชมบล็อกของผมกันนะครับ เผื่อคุณจะได้เอาความรู้ไปปรับใช้กันครับ






วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Line บน Windows 8


แอพพลิเคชั่นแชต ที่ฮิตที่สุดแชตกันสนั่นเมืองในตอนนี้เป็นใครไปไม่ได้  นั่นก็คือๆๆๆ  Line นั่นเอง  Line เป็นแอพพลิเคชั่นส่งข้อความที่ฮิตมากบนสมาร์ทโฟน  บน  ios,Android,WindowsPhonและBlackberry
ในส่วนของคอมพิวเตอร์ หรือ Macbook นั่น ก็มี Line เวอร์ชั่นสำหรับ Windoes และ MAC ด้วย  ในก่อนหน้านี้ก็มี Line บนเว็บบราวเซอร์ให้แชตฝ่านเว็บบราวเซอร์ได้เลย ซึ่งออกแบบสำหรับแท็บเล็ตทุกตัว แต่เมื่องปลายปี 2012 ที่ผ่านมา Line ได้ปิดบริการนี้ไปแล้ว


แอพ Line สำหรับ Windows 8 ดาวน์โหลดติดตั้งฟรีผ่านทาง Store บน Windows 8

แต่ Line ก็มีรุ่นมาแทนที่ LineBrowser จนได้  แต่เฉพาะผู้ที่ใช้แท็บเล็ต หรือ คอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 8 เท่านั้น เพราะบริษัท Naver ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น Line สำหรับ Windows 8 ให้ดาวน์โหลดไปใช้ ฟรีผ่านทาง Windows Storeแล้ว

เมื่อดาวน์โหลดเสร็จจะเห็นแอพ  Line  อยู่บนหน้าจอ Start  screen  ก็คลิกไอคอน Line  ได้เลย

เมื่อติดตั้งครั้งแรก  ก็จะเจอข้อตกลงการใช้งานแอพ Line จากบริษัท naver  ให้คลิก Agree  and  Get  Startedเพื่อเข้าสู่หน้าจอ Sing in  เข้าสู่ระบบของ Line

หน้าตาของหน้า  Sing in  ถึงแม้ว่าหน้าตาจะคล้ายกับ Line บน Windows ทั่วไปแต่แอพ Line ทำงานเต็มจอกันเลยทีเดียว ทีนี้เราก็สามารถ Sing in ด้วยอีเมล ที่ลงทะเบียนกับ Line ได้เลย

ที่สำคัญเมื่อ Sing in เรียบร้อยแล้ว ก็เห็นรายชื่อเพื่อนต่างๆ ปรากฏบนหน้าจอเลย และสามารถแชตกับเพื่อนได้บน Windows 8 สลับกับมือถือพร้อมๆ กันได้

แอพ Line บน windows 8 สามารถทำงานได้ทั้งบน Pc,Notebook และ Tablet ที่ลงระบบปฏิบัติการ Windows 8 สามารถเล่นได้ทั้งแบบเต็มจอ หรือแบบ Snap หน้าจอให้อยู่ข้างๆ ระหว่างทำงานก็ได้

นอกจากนี้ยังสามารถติดตามและเพิ่ม Official Line  แบรนด์ต่างๆ เป็นเพื่อนได้ และสามารถส่งสติ๊กเกอร์ไปยังเพื่อนๆ ได้ด้วยสติ๊กเกอร์ตัวใหญ่ๆ เต็มหน้าจอกันไปเลย

แต่ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง คือไม่สามารถซื้อสติ๊กเกอร์ผ่าน Line บน Windows8 ได้เพราะ Line ยังไม่มีร้านค้าสติ๊กเกอร์มาติดตั้งแอพ Line บน Windows8  หากใครที่เคยใช้ Line บน WindowsPhon8 ตอนนี้ก็จะเจอปัญหา คือไม่สามารถซื้อ Line สติ๊กเกอร์ได้เช่นกัน  ต้องพึ่งการโหลดสติ๊กเกอร์ผ่านอุปกรณ์ ios หรือ android ไปก่อน รวมถึง Line บน Windows ยังไม่สามารถโทรผ่านเน็ตได้  ท่านสามารถนำแอพ Line มาแชทแบบเต็มจอผ่านคอมพิวเตอร์แบบต่างๆ ด้วยระบบปฏิบัติการ Windows8 ได้ฟรีทาง Windows Store ส่วนผู้ใช้ Windows รุ่นเก่าๆ ก็มี Line สำหรับ Windows รุ่นเก่าอย่าง Windows xp , Windows Vista และ Windows7  ให้ใช้ด้วยเช่นกัน แต่จะไม่เต็มจอ เหมือน  Windows8








วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ไขข้อข้องใจ Blu-Ray Disc


ถ้าจะให้พูดถึงหนังแผ่นที่มีความคมชัดที่สุดในตอนนี้  ก็ต้องนี่เลย!! แผ่นบลูเรย์  ที่ตอนนี้มีวางขายแล้วตามห้างสรรพสินค้า และร้านหนัง  ทำไมต้องแผ่นบลูเรย์  บลูเรย์คืออะไร  บลูเรย์มีดีอย่าง บลูเรย์มันมาจากไหน  วันนี้เราจะเอาประวัติคร่าวๆ ของเจ้าบลูเรย์มาฝากกันนะครับ


แผ่นบลูเรย์ หรือ Blu-Ray Disc มีลักษณะคล้ายกับแผ่นซีดีหรือแผ่นดีวีดีแต่มีความจุของข้อมูลมากกว่าแผ่นดีวีดีถึง 5 เท่าทำให้สามารถบรรจุข้อมูลภาพและเสียง ที่มีความคมชัดสูงได้ ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้วิดีโอความคมชัดสูง (High Definition Video) ซึ่งมีจำนวนของพิกเซล (Pixel) หรือความละเอียดภาพสูงมาก

แผ่นบลูเรย์มี 3 แบบดังนี้
แผ่น BD-R (SL) หมายถึง Blu-Ray Disc Rom Single Layer แบบหน้าดียว มีความจุ 25 GB
แผ่น BD-R (DL) หมายถึง Blu-Ray Disc Rom Double Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 50 GB
แผ่น BD-R (2DL) หมายถึง Blu-Ray Disc Rom Double Layer แบบสองหน้า มีความจุ 100 GB

ประวัติของแผ่นบลูเรย์
แผ่นบลูเรย์ ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี 1996 โดยนายชูจิ นากามูระ (Shuji Nakamura) ซึ่งเป็นนักวิจัยของ Nichia Corperation ต่อมามาตราฐานของบลูเรย์ถูกพัฒนาโดยกลุ่มบริษัทชั้นนำต่างๆ เช่น โซนี่ แอปเปิ้ล พานาโซนิก ซัมซุง
ไพโอเนียร์ เดลล์ ฟิลิปส์ ชาร์ป ซึ่งรวมกลุ่มกันเรียกว่า Blu-Ray Disc Association จากการพัฒนาในครั้งนี้ ทำให้แผ่นบลูเรย์มีประสิทธิภาพมากกว่าแผ่นดีวีดีมาก ทั้งในด้านของข้อมูลที่สามารถจุได้มากกว่าถึง 5 เท่าและเนื่องจากการที่แผ่นบลูเรย์ สามารถเก็บข้อมูลได้ที่ความหนาแน่นสูงกว่า ทำให้ความเร็วของรอบการหมุนมากกว่าแผ่นดีวีดี
อายุการใช้งานของแผ่นบลูเรย์ จะนานกว่าแผ่นดีวีดี เนื่องจากได้รับเกราะชั้นดีจากทาง TDK หรือที่เรียกว่าการทำ ฮาร์ดโค้ด (Hard Coat) ซึ่งมีผลทำให้สามารถป้องกันความเสียหายอันเกิดจากรอยขีดข่วนได้ดี อีกทั้งยังทนต่อรอยนิ้วมือด้วย

หลักการทำงาน
แผ่นบลูเรย์ เป็นชื่อที่มาจากแสงเลเซอร์ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล คือแสงเลเซอร์สีน้ำเงิน (Blue Laser) ที่มีความยาวคลื่นเพียง 405 นาโนเมตรสั้นกว่าเลเซอร์สีแดง (Red Laser) ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลสำหรับแผ่นดีวีดี ซึ่งเลเซอร์สีแดงนี้มีความยาวคลื่นถึง 650 นาโนเมตร โดยเลนส์ที่ใช้ในการบันทึกแผ่นบลูเรย์นี้ จะใช้เลนส์สำหรับบันทึกที่มีขนาดเพียง 0.85 มิลลิเมตรและมีโครงสร้างแบบ Optical transmittance protection disc layer ที่มีความหนาเพียง 0.1 มิลลิเมตร

ในส่วนของความเร็วในการอ่านหรือบันทึกแผ่นบลูเรย์จะมีค่า 1x , 2x และ 4x ในแต่ละ 1x จะมีความเร็ว 36 เมกะบิตต่อวินาที ดังนั้น 4x จะสามารถบันทึกได้เร็วถึง 144 เมกะบิตต่อวินาที เนื่องจากแผ่นบลูเรย์สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 25 กิกะไบต์จึงทำให้สามารถบันทึกภาพยนตร์ได้ถึง 13 ชั่วโมงในขณะที่แผ่นดีวีดีบันทึกได้เพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้นและยังสามารถบันทึกวิดีโอความคมชัดสูงได้ถึง 2.5 ชั่วโมง ซึ่งแผ่นดีวีดีบันทึกได้ไม่ถึง 30

แต่อยากจะขอร้องผู้อ่านทุกท่านนะครับ ว่าถ้าหากจะซื้อหนังมาดูสักแผ่น  ก็ควรจะเป็นแผ่นแท้ มีลิขสิทธิ์นะครับ อย่าไปอุดหนุนของเถื่อน แผ่นผีกันเลยนะครับ   เห็นใจคนทำหนังเค้าครับ เราควรให้กำลังใจเค้าซะหน่อย

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทำอย่างไร เมื่อมีอาการปวดมือ เวลาเล่นมือถือ หรือแท็บเล็ตนานๆ




        ในยุคปัจจุบันไม่ว่าวัยเรียน หรือวัยทำงานต่างก็ใช้สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตกันมากขึ้นและใช้ทุกช่วงเวลา   เช่น   เวลาทำงาน  ไปเที่ยว  เวลาเรียน  หรือตอนพักผ่อน   บางคนจ้องแต่จอ
และกดปุ่มสมาร์ทโฟน  และแท็บเล็ตอยู่ตลอดเวลา  พูดได้ว่ามองจออุปกรณ์เหล่านี้มากกว่ามองหน้าคนในครอบครัวซะอีก  แทบจะขาดสมาร์ทโฟนไม่ได้เลย  เหมือนจะมีอาการลงแดงกันเลยทีเดียว
ในขณะที่เราไม่เจอคนในครอบครัวเรายังดูปกติ  อาการนี้  เข้าขั้นติดซะแล้ว  ซึงอาการติดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตนี้  ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้   ซึ่งก็มีท่าบริหารแก้อาการที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์เหล่านี้มากเกินไป


คุณหมอกอล์ฟ   หรือนายแพทย์สิทธา  ลิขิตนุกูล  บอกไว้ว่า "โทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตนี้  มันก็มาพร้อมอาการที่ทำให้เราต้องกลุ้มใจ  เช่น  โรคปวดตา  ปวดนิ้ว  นิ้วล็อก แบบที่หลายคนเป็นกันมาแล้ว  นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการปวดไหล่     เพราะขนาดไซด์ที่ไม่ถนัดมือ  แถมยังต้องยกแบกมันอยู่ตลอด  หรือแม้แต่มือถือเล็กๆ  ก็ต้องเกร็งแขน  เกร็งมือ   วันนี้เลยแนะนำท่าบริหารแก้ปวดไหล่  มาผ่อนคลายอาการปวด"

1.ท่ากวนโจ๊ก
เอาแขนตั้งตรง  มือชี้ลงไปที่พื้น  แขนเหยียดตรง  แล้วทำท่าเหมือนกวนโจ๊กในหม้อ  วนเป็นวงเล็กๆ จากในออกนอก

2.ท่าปูไต่
เอาแขนมาแนบกัยผนัง  กำแพง หรือประตูก็ได้  จากนั้นไต่เหมือนปู  ไล่จากข้างล่างขึ้นบน  จนแขนตึง  ให้หัวไหล่เป็นแนวตรง  ก็จะเป็นการบริหารหัวไหล่  เหมือนเป็นการยืดเส้น  แก้อาการปวดได้

สำหรับใครที่ติดมือถือเยอๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งมือถือธรรมดาๆ หรือสมาร์ทโฟน  คุณหมอกอล์ฟ  บอกว่า  "อาการติดมือถือนี้ (ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาร์ทโฟนก็ได้)  นอกจากปวดนิ้วมือ ไหล่  เพราะนั่งกดเป็นประจำแล้ว    การที่มีข้อมูลส่งเสียงเตือนเข้ามาบ่อยๆ  อาจรบกวนสมาธิต่อการทำงาน  เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องที่สำคัญหรือไม่  ต้องเปิดตอบรับการทักทายตลอดเวลา   อย่างนี้แสดงว่าถึงขั้นเสพติดโทรศัพท์แล้ว  ซึ่งสังเกตได้ว่าเรามักจะเครียดมากขึ้นหากลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน   หรือไปไกลๆ ในที่อับสัญญาณ  ถ้าไม่อยากเป็นเช่นนี้  ต้องหากิจกรรมอื่นทำมาขึ้นนอกจากจดจ่ออยู่แต่เจ้าสมาร์ทโฟนนะครับ"  ถ้าใครไม่อยากมีอาการที่กล่าวมาข้างต้น  ก็พยายามออกห่างจากเจ้าสมาร์โฟนและแท็บเล็ตบ้างก็ดีนะครับ เพราะการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ